12/30/2553

สิ่งมหัศจรรย์ที่แสดงความมีเดชานุภาพของอัลลอฮ์ กรณีศพฟาโรห์์์์

Dr.Maurice Bucaille
เรื่่องราวของมัมมีี่ ฟาโรห์ และการประกาศอิสลามของแพทย์ผู้โด่งดังชาวฝรั่งเศส ชื่อ มอริส  บูกายย์



فاليوْم نَُنجيكَ ببدَدنِكَ لِتَكُونَ لِمَنْ خَلفََك آيَةً وإنَّ كَثيراً
مِّنَ النَّاسِ عَنْ آيَاتِنَا َلغَافُِلون يونس 92 

"ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจาก ทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า
และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่าง ๆ ของเรา"
จาก..อัลกุรอาน(บทยูนุส / 92)


ช่วงที่นายฟรองซัวส์ มิตเตอร์รองด์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ปี 1981 รัฐบาลฝรั่งเศส ได้ดำเนินการขออนุญาตจากรัฐบาลอียิปต์ ให้ส่งมัมมี่ฟาโรห์ไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อทำการชันสูตรและบำรุงรักษา หลังจากนั้นก็มีการเคลื่อนย้ายศพจอมอหังการที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จัก

ที่ฝรั่งเศส ...ขณะที่ขบวนเคลื่อนย้ายมัมมี่ฟาโรห์ลงจากบันไดเครื่องบิน ประธานาธิบดีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศฝรั่งเศสได้้เข้้าแถวต้อนรับมัมมีี่ฟาโรห์์และคณะอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ !!! เสมือนกับพิธีต้อนรับพระราชาและเสมือนว่าฟาโรห์ยังมีชีวิตอยู่ และกำลังร้องตะโกนแก่ชาวอียิปต์ว่า ข้าคือพระเจ้าที่สูงส่งของพวกเจ้า

หลังจากพิธีต้อนรับเสร็จสิ้นลง... ศพจอมอหังการก็ถูกเคลื่อนย้ายด้วยขบวนรถอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งไม่ด้อยกว่าพิธีต้อนรับ  จากนั้นศพมัมมี่ถูกนำไปยังศูนย์พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เพื่อทำการชันสูตรโดยคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


ภาพที่ท่านเห็นคือภาพถ่ายระยะใกล้ของ ฟาโรห์โรเมสิสที่สอง สังเกตได้้ว่่ามือทั้ังสองข้้างอยู่ในสภาพกอดอก แพทย์ผู้เป็นห้วหน้าทีม  ของการชันสูตรศพในครั้งนี้คือ ศ.นพ.มอริส บูกายย์

ทีมแพทย์ชันสูตรต่างกุลีกุจอตรวจรักษาศพมัมมี่เป็นการใหญ่ ในขณะที่ศ.นพ.มอริส ใจจดใจจ่อที่จะพิสูจน์ว่า จอมราชันย์์ผู้โอหังองค์นี้ เสียชีวิตได้อย่างไร

ศพของโรเมสิสที่สองนี้ มีสภาพที่แตกต่างจากศพฟาโรห์อื่นๆ ที่มีการชันสูตรก่อนหน้านี้ เพราะลักษณะการสิ้นชีวิตของฟาโรห์องค์นี้แปลกพิสดารมาก ขณะทีี่ทีมแพทย์์แกะผ้้าพันศพออก พวกเขาต้้องตระหนกตกใจเมื่อมือซ้ายของมัมมี่นี้ได้ยื่นออกอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าผู้ที่ห่อศพได้ออกแรงดันให้มือท้ังสองข้างชิดแนบอกเหมือนศพฟาโรห์องค์อื่นที่สิ้นชีวิตก่อนหน้านี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ?

ช่วงดึกของคืนหนึ่ง ศ.นพ.มอริสได้พิสูจน์ผลการทดสอบครั้งสุดท้าย ซึ่งค้นพบว่า มีเกร็ดเกลือติดอยู่กับศพ ฟาโรห์

หลังจากมีการเอ็กซ์เรย์ เขายังพบอีกว่า กระดูกของศพได้หักเป็นท่อน ๆ ในขณะที่ผิวหนังไม่มีร่องรอยการฉีกขาดเลย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการยืนยันว่าฟาโรห์องค์นี้จมน้ำตายอย่างแน่นอน เนื่องจากถูกกระแทกด้วยน้ำอย่างรุนแรง ทำให้กระดูกหัก แต่ผิวหนังไม่ฉีกขาด หลังจากเสียชีวิต ศพฟาโรห์ องค์นี้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากทะเลโดยทันที

หลังจากนั้นประชาชนได้้เร่งรีบห่อศพเป็นมัมมี่เพื่อป้องกันจากการเน่าเปลื่อย

สิ่งที่แปลกกว่านี้ ทีมแพทย์สามารถอธิบายเกี่ยวกับมือซ้าย ซึ่งฟาโรห์องค์นี้กำลังถือเชือกบังคับม้าหรือดาบด้วยมือขวา ในขณะที่มือซ้ายถือโล่ห์ และเป็นช่วงที่พระองค์จมน้ำตายพอดี

เนื่องจากอยู่ในอาการตกใจสุดขีด ในขณะที่มือซ้ายกำลังปกป้องการโหมกระหน่ำของน้ำทะเลอย่างสุดชีวิต ทำให้พระองค์ต้องจบชีวิตในลักษณะนี้ ซึ่งในวงการแพทย์แล้วเป็นที่ทราบกันว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะดึงมือให้แนบอกอีกคร้ัง

อาการของศพในลักษณะนี้ เป็็นทีี่ทราบกันดีในวงการแพทย์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเหยื่อหรือผู้ตายอยู่ในอาการปกป้องชีวิตแบบสุด ๆ เช่นกำลังคว้าเสื้อฆาตกรหรือส่วนอื่น ๆ ในทำนองนี้

แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่่  ศ.ดร.มอริส คือ .......

ทำไม ? ศพฟาโรห์องค์นี้มีสภาพที่สมบูรณ์กว่าศพฟาโรห์องค์ อื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ศพฟาโรห์องค์นี้ถูกนำมาจากท้้องทะเล

มอริส บูกายย์ ได้ตระเตรียมเขียนรายงานชิ้นสุดท้ายเกี่ยวกับสิ่งใหม่ที่ตนเองค้นพบ นั่นคือฟาโรห์องค์นี้ จมน้ำตายในทะเลก่อนที่จะถูกนำขึ้นบก เขาวาดฝันว่าสื่อทุกแขนงคงให้ความสนใจกับสิ่งที่ตนเองค้นพบอย่างแน่นอน

จนกระทั่งหนึ่งในทีมแพทยช์ชันสูตรได้กระซิบกับเขาว่า ท่านจะรีบร้อนไปทำไม ชาวมุสลิมรู้เรื่องฟาโรห์ จมทะเลตายมาก่อนแล้ว อัลกุรอานของพวกเขาได้เล่าเรื่องนี้มาตั้ังแต่ 14 ศตวรรษทีี่ผ่านมาแล้้ว

คำพูดนี้ทำให้ ศ.นพ. มอริส  แปลกใจมาก เขาจึงปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า ไม่มีทางที่อัลกุรอานจะค้นพบสิ่งเร้นลับนี้ได้ เว้นแต่ต้องอาศัยอุปกรณ์อันทันสมัยและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพสูงมาก

ยิ่งไปกว่านั้น มัมมี่ องค์นี้ได้รับการค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 1898 !

ศ.นพ.มอริส รู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้น และถามตนเองว่า ไม่มีทางที่ปัญญาของมนุษย์จะยอมรับคำบอกเล่าของอัลกุรอานในเรื่องนี้ได้

มนุษย์์ทั้ั้งมวลซึ่งไม่่เพียงแต่่ชาวอาหรับเท่านั้ั้นต่่างก็ไม่่รู้้ด้้วยซ้ำว่่าชาวอียิปต์์ยุคก่่อนรู้้วิธีรักษาศพด้้วยการห่่อศพเป็็นมัมมีี่ เว้้นแต่่ก่่อนหน้้านี้เพียงไม่กีี่ร้อยปีีเท่า่นั้ั้น

ศ.ดร.มอริส นั่งเพ่งพินิจศพฟาโรห์ทั้งคืนในขณะที่มันสมองของเขา หวนคิดคำพูดของเพื่อน ๆ ว่า อัลกุรอานของชาวมุสลิม ได้พูดถึงศพฟาโรห์ที่ถูกนำออกจากทะเลหลังจากจมน้ำ

ในขณะที่คัมภีร์ไบเบิลได้เล่าเพียงการจมน้ำตายของฟาโรห์ช่วงที่ไล่ล่านบีมูซาเท่านั้น โดยไม่มีการพูดถึงว่าศพฟาโรห์ได้ถูกนำ ณ ที่ใดบ้าง

เป็นไปได้หรือที่ มูฮัมมัด ของพวกเขารับทราบความจริงนี้มาตั้ังแต่พันกว่า่ ปีีแล้้ว

ในคืนนั้น ดร.มอริสไม่สามารถหลับตานอนได้เลย เขาได้ส่ั่งให้ผู้ช่วยของเขานำคัมภีร์์โตราห์์ และเขาได้้อ่านตอนหนึึ่ง
ความว่่า“และแล้วน้ำก็ได้โถมเข้า้ใส่ ทำให้เหล่าทหารม้าของฟาโรห์จมใต้ทะเล ไม่มีใครรอดชีวิตแม้เพียงคนเดียว”

ดร.มอริส ยังคงแปลกใจอยู่่ว่่า แม้้กระทั่งไบเบิลก็ไม่เคยพูดถึงศพของฟาโรห์ว่าถูกรักษาไว้อย่างดี คัมภีร์โตราห์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้้กล่าวถึงรายละเอียดจุดจบของศพ ฟาโรห์เ์ลย

หลังจากการตรวจชันสูตรสำเร็จไปด้วยความเรียบร้อย รัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่งคืนมัมมี่ฟาโรห์กลับคืนไปยังอียิปต์

แต่ความรู้สึกของ ดร. มอริส ยังคงว้าวุ่นกระวนกระวาย หลังจากที่เขาทราบว่าชาวมุสลิมรู้มาก่อนหน้านี้ว่าศพฟาโรห์ถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัย

เขาจึงจัดแจงสัมภาระ และตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศมุสลิม เพื่อขอพบกับบรรดาศัลยแพทย์มุสลิม

 ณ ที่นั่น เขาได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับศัลยแพทย์มุสลิม พร้อมทั้งเล่าสิ่งที่เขาค้นพบเกี่ยวกับศพฟาโรห์ที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีหลังจากจมน้ำตาย หนึ่งในศัลยแพทย์มุสลิมได้้ลุกขึ้น พร้้อมเปิิดอัลกุรอานและอ่่านพจนารถของอัลลอฮฺว่า
“ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจากทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่า่ง ๆ ของเรา” (ยูนุส / 92)

อายะฮฺนี้ทำให้เขาต้องตะลึงแน่นิ่ง หัวใจเต้นระรัวด้วยความประหลาดใจ เขาได้ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาผู้คน พร้อมป่าวตะโกนเสียงก้องว่า ฉันขอประกาศรับอิสลาม และฉันศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้


ดร. มอริส บูกายย์ ได้กลับสู่ประเทศฝรั่งเศสในสภาพที่ต่างจากช่วงที่เขาออกมาอย่างสิ้นเชิง

หลังจากนั้น เขาจึงได้ทุ่มเทเวลานานนับสิบปีศึกษาวิจัยความสอดคล้องของวิทยาการและการค้นพบทางวิชาการยุคใหม่กับเนื้อหาที่ปรากฏในอัลกุรอาน

นอกจากนี้ เขายังใช้ความพยายามค้นหาข้อผิดพลาดทางวิชาการที่อาจมีอยู่ในอัลกุรอาน แต่เขาก็ไม่เจอะเจอ แม้เพียงเรื่องเดียว

 และแล้้ว เขาก็ต้้องยอมจำนนกับพจนารถของอัลลอฮฺทีี่ได้้ดำรัสความว่า
“ความเท็จจากข้างหน้าและจากข้างหลังจะไม่สามารถย่างเข้้าไปสู่อัลกุรอานได้้ (เพราะ) เป็็นการประทานจากพระผู้้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ”

ผลพวงจากความทุ่มเทตลอดระยะเวลาสิบปีนี้ ทำให้ ดร.มอริส สามารถผลิตผลงานชิ้นเอกที่พูดถึงความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน ซึ่งได้รับการกล่าวขานอย่่างกว้้างขวางในประเทศยุโรป และทำให้้วงวิชาการทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน

ตำราที่ท่านได้เขียนไว้้มีชืื่อว่่า “คัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์กุรอาน และ วิทยาศาสตร์”

ผู้เขียนได้ศึกษาบรรดาคัมภีร์อันประเสริฐ โดยการใช้ความรู้สมัยใหม่มาเปรียบเทียบ เป็นหนังสือที่มียอดจำหน่ายสูงสุดเล่มหนึ่ง จนกระทั่งขาดตลาดในเวลาอันรวดเร็ว และได้รับการต้อนรับอย่างดีในยุโรปและอเมริกาจนกระทั่งปัจจุบัน


มีนักวิชาการบางคนที่อัลลอฮฺได้ปกปิดดวงใจและนัยน์ตาของเขามิให้มองเห็นสัจธรรม ได้พยายามตอบโต้หนังสือเล่มนี้ แต่พวกเขาไม่ได้้เขียนอะไรเลยเว้้นแต่การโต้้แย้้ง ที่เต็มไปด้วยความอคติและความพยายามอันสูญเปล่า ที่บรรดาชัยฏอนได้ดลใจให้แก่พวกเขา

สิ่งที่แปลกกว่่านี้มีนักวิชาการตะวันตกบางคน ได้้เตรียมการที่จะตอบโต้หนังสือเล่มนี้ แต่หลังจากที่ได้อ่านหนังสือนี้อย่างลึกซึ้งและพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้้ว นักวิชาการเหล่านี้กลับกล่าวคำปฏิญาณตนและประกาศรับอิสลามเสียเอง


คุณรู้จัก ศ.ดร.มอริส บูกายย์์ ดีแค่ไหน ?

มอริส บูกายย์เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อ19 July1920 เติบโตจากครอบครัวที่เป็นคริสเตียนนิกายออร์ทอด็อกส์ เป็นศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในฝรั่งเศสเขา้ รับอิสลามเมื่อปี 1982

คัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์อัลกุรอาน และ วิทยาศาสตร์ เป็นงานชิ้นเอกของ มอริส บูกายย์ ซึ่งเขียนขึ้นหลังจากการค้นคว้าหาข้อมูลอย่างยาวนาน ทั้งจากคัมภีร์ไบเบิล อัลกุรอานและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ บูกายย์ ได้ทุ่มชีวิตให้กับการเรียนรู้อิสลามด้วยการศึกษาภาษาอาหรับ และคัมภีร์อัลกุรอานอย่างมุ่งมั่นก่อนที่จะสรุปว่า
“ ในชีวิตนี้ ผมไม่เคยพบความสอดคล้องระหว่างศาสตร์และศาสนาเลยจนกระทั่งผมได้ศึกษาอัลกุรอาน  ในทัศนะอิสลามแล้วศาสนาและความรู้้เป็็นคู่่แฝดทีี่ไม่่สามารถแยกออกจากกันได้เลย ”

หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลไม่น้อยกว่า 17 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยที่แปลโดย ดร.กิติมา อมรทัต ปรมาจารย์ด้านการแปล  ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้ผ่านการตีพิมพ์แล้ว จำนวน 3 ครั้ง (2542 2546 และ2551 ตามลำ ดับ) โดยสำนักพิมพ์์อิสลามิคอะเคเดมี


มอริส ยังได้กล่าวอีกว่า
“อัลกุรอานสอดคล้องกับข้อมูลวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อย่างลงตัวที่สุดความรู้สมัยใหม่ทำให้เ้ราเข้าใจโองการ หลายโองการในอัลกุรอาน ซึ่งไม่สามารถตีความได้จนกระทั่งบัดนี้”
มอริส กล่า่าวว่า่
“หากมีการอ้้างว่่า อัลกุรอานเป็็นตำาราทีี่เขียนโดยมนุษย์์แล้้ว เป็็นไปได้้อย่่างไรทีี่มนุษย์์์์ซึึ่งมีชีวิตในศตวรรษทีีีี่ 7 จะมีความรู้้้้อย่่่่างแตกฉานและถูกต้้องแม่่นยำในเนื้อหาวิชาการทีี่ไม่่เคยเกิดขึ้นในยุคของเขา”


มอริสยังเสริมอีกว่า
“สัมผัสแรกที่เราสามารถรู้สึกได้หลังจากศึกษาอัลกุรอานแล้ว คือ ความน่าทึ่งของเนื้อหาอัลกุรอานทีี่เต็มไปด้้วยสาระข้้อมูลทางวิชาการมากมาย ในขณะที่ในคัมภีร์โตราห์ มีเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดและไม่สามารถยอมรับได้ในวงวิชาการ แต่ในอัลกุรอาน เราจะไม่พบความผิดพลาดในลักษณะนี้แม้เพียงเรื่องเดียว

 มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮฺ ซึ่งได้กล่าวว่า
“และหากปรากฏว่าพวกเจ้้าอยู่ในความแคลงใจใดๆ  เกี่ยวกับอัลกุรอาน
ที่เราได้ประทานลงมาแก่บ่าวของเราแล้ว ก็จงนำมาซูเราะฮฺหนึ่งเยี่ยงอัลกุรอานนี้
และจงเชิญชวนผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้านอกจากอัลลอฮฺเป็นประจักษ์พยาน หากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง”

มนุษย์ทั้งมวล ไม่ว่ามุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิุมก็ตาม ต่างก็ได้อ่านหรือได้ยินคำ ประกาศที่อหังการและท้้าทายสติปััญญาของมนุษย์์ทีี่สุด มาในลักษณะนี้ตั้งแต่ 14 ศตวรรษแล้ว แต่ยังไม่มีใครสักคนที่หาญกล้าตอบรับคำท้าทายนี้ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จนกระทั่งวันกิยามะฮ์


 อัลกุรอาน คือคัมภีร์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา เป็นเพราะความมหัศจรรย์ที่เหนือคำบรรยาย ที่สามารถยืนยันในสัจธรรมของ นบีมูฮัมมัด ที่มนุษย์สามารถใช้สติปัญญาพิสูจน์ไ์ด้

ความว่า "อะลิฟ ลาม มีม คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใดๆในนั้น เป็นทางนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่า่นั้น"

“ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจากทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่่อสัญญาณต่่าง ๆ ของเรา” (ยูนุส / 92)

อายะฮฺนี้ นำความจริงให้แก่เราอย่า่งน้อย 3 ประการ คือ




1) ศพฟาโรห์ถูกรักษาเป็นอย่างดี ไม่เน่าเปื่อยในทะเลเหมือนศพอื่น ๆ
2) เป็็นสัญญาณในเดชานุภาพของอัลลอฮฺสำหรับผู้้ศรัทธา
3) คนส่วนมากจะเมินเฉยกับสัญญาณของอัลลอฮฺ ดังกรณีศพฟาโรห์นี้ที่คนส่วนใหญ่ดูเป็นเรื่องราวที่เกียวเนื่องกับธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงโบราณคดี มากกว่าที่จะเป็นสัญญาณแห่งความปรีชาของอัลลอฮฺ


سبحان ربك رب العزة عما يصفون وسلام على المرسلين
والحمد لله رب العالمين
แปลและเรียบเรียง  / อ.มัสลัน  มาหะมะ
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
8 Rabi’ Awwal 1430 / 5 March 2009


คำพูดของนักวิทยาสาสตร์ชาวคริสต์ที่มีต่อ อัลกุรอาน

คุณสามารถพิสูจน์ได้อย่างไร

  คุณสามารถพิสูจน์ได้ไหมว่าพระเจ้ามีจริง?

 คำตอบ คุณพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของคุณได้ไหม แน่นอนคุณสามารถพิสูจน์ได้ คุณก็เพียงแต่ใช้ประสาทสัมผัสของคุณในการบ่งชี้ว่าคุณสามารถมองเห็น ได้ยิน รู้สึก ได้กลิ่น ลิ้มรสและมีอารมณ์ความรู้สึกด้วย ทั้ง หมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบของการมีตัวตน แต่องค์ประกอบเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้เพื่อการรับรู้ในการมีอยู่ของพระ เจ้าในอิสลาม แต่เราอาจมองเห็นสิ่งต่างๆที่พระองค์ทรงสร้าง และรูปแบบที่พระองค์ทรงดูแลรวมทั้งค้ำจุนพวกเรา เพื่อการรับรู้อย่างไม่ต้องสงสัยในการมีอยู่ของพระองค์  

จง พิจารณาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่อไปนี้ ในคราวต่อไปที่ท่านมองไปยังดวงจันทร์หรือดวงดาวในค่ำคืนที่ฟ้าใส ว่าท่านสามารถที่จะปล่อยแก้วหล่นบนทางเดิน และคาดว่าจะกระแทกกับพื้น แล้วผลออกมามันกลับไม่แตก แต่กลับแบ่งตัวเป็นแก้วเล็กๆ ที่มีชาเย็นอยู่ในแก้วเหล่านั้น แน่นอนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

           และ ลองพิจารณาถ้าพายุทอร์นาโดพัดมายังสถานที่เก็บของเก่าและทำลายรถยนต์เก่าๆ เหล่านั้น เป็นได้หรือที่หลังจากพายุสงบแล้วจะมีรถเบนซ์คันงาม ติดเครื่องยนต์อยู่แทน โดยที่ไม่มีเศษส่วนใดของรถหลงเหลืออยู่ข้างๆ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

           มีภัตตาคารที่บริหารตัวเองได้หรือไม่หากไม่มีคนบริหาร คงไม่มีใครคิดอะไรที่เหลวไหลเช่นนี้หรอก

        หลัง จากที่ได้พิจารณาจากข้างบนแล้ว เรายังจะมองไปยังจักรวาลโดยใช้กล้องส่องทางไกลหรือส่องดูโมเลกุลผ่านกล้อง จุลทรรศน์ แล้วสรุปว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะปรากฎการณ์บิ๊กแบงหรือความบังเอิญ กระนั้นหรือ

พิสูจน์การมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้า โดย อ.ชารีฟ วงศ์เสงี่ยม

เมื่อมีคนบอกว่า..พระเจ้าไม่มีจริง!!

นักธุรกิจหนุ่มใหญ่คนหนึ่งมัวยุ่งกับงานที่รัดตัวจนไม่มีเวลาดูแลตัวเองเท่าไหร่นัก 

ในวันหยุดวันหนึ่ง เขามองดูตัวเองในกระจก 
เห็นผมที่เริ่มยาวและหนวดที่เริ่มไม่เป็นทรงของตัวเอง 
จึงคิดในใจว่าได้เวลาต้องไปตัดผม 

แล้วเขาก็ออกจากบ้านตรงไปยังร้านตัดผมทันที 

ขณะที่ช่างตัดผมและแต่งหนวดให้นั้น 
ช่างก็ชวนคุยเรื่องต่างๆ ไปเรื่อย 
แต่ไม่รู้ไปยังไงมายังไง สุดท้ายลงเอยด้วยเรื่องพระเจ้าได้ 

ช่างตัดผมพูดว่า 

“ผมไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง” 

“ทำไมล่ะ?” นักธุรกิจถาม 

“ก็....ง่ายๆ เลยนะ 

คุณลองออกไปข้างนอกโน่นแล้วคุณจะรู้ว่าไม่มีพระเจ้าอ่ะ 
....ถ้ามีพระเจ้าจริงนะ บอกผมหน่อยทำไมถึงมีคนเจ็บป่วยมากมายขนาดนี้? 

ทำไมมีเด็กกำพร้า เด็กถูกทอดทิ้งเต็มเมืองอย่างนี้? 
ถ้าพระเจ้ามีจริงก็ต้องไม่มีความเจ็บปวด 

ไม่มีความทุกข์ทรมาน ผมนึกไม่ออกว่าพระเจ้าที่ใครๆบอกว่าเป็นพระเจ้าแห่งความรักจะให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง?” 

นักธุรกิจผู้นี้ก็นิ่งคิดในใจว่าจะตอบอย่างไรดี 
แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรเนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็นเหตุให้เกิดการทุ่มเถียงกัน 

เมื่อช่างได้ตัดผมและแต่งหนวดให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว 
นักธุรกิจผู้นี้ก็จ่ายเงินแล้วตั้งใจว่าจะตรงกลับบ้านเลย 

แต่ขณะที่ยังยืนอยู่หน้าร้านเขาก็เห็นชายคนหนึ่งผมยาวรุงรังหนวดเครายาวเฟิ้ม ดูไม่สะอากสะอ้านเอาซะเลย 
นักธุรกิจผู้นี้ก็กลับเข้าไปในร้านแล้วพูดกับช่างตัดผมว่า 

“คุณรู้อะไรมั้ย? ช่างตัดผมไม่มีจริงหรอก” 

ช่างตัดผมงง “ทำไมพูดอย่างงั้นล่ะ 
ก็ผมนี่ไง แล้วผมก็เพิ่งจะตัดผมแล้วก็แต่งหนวดให้คุณเมื่อกี้นี่เอง” 

นักธุรกิจพูดต่อ 

“ไม่หรอก ไม่มีช่างตัดผมจริงหรอก 
เพราะถ้าช่างตัดผมมีจริงก็จะต้องไม่มีคนผมยาว 
หนวดเครายาวรุงรัง ดูอย่างผู้ชายคนที่อยู่ข้างนอกนั่นสิ” 

ช่างตัดผมมองไปที่ชายคนนั้นแล้วพูดว่า 
“โห...แต่ยังไงก็ตาม ช่างตัดผมมีจริงๆก็คนเหล่านั้นไม่ได้มาให้ผมตัดให้นี่” 

“ถูกต้อง” นักธุรกิจตอบอย่างมั่นใจ 
“ประเด็นอยู่ตรงนั้นแหละ 


พระเจ้าก็มีอยู่จริง 
แต่คนไม่มาหาพระองค์ไม่แสวงหาพระองค์ 
โลกจึงมีความเจ็บปวดทรมานมากมายขนาดนี้